วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557


วะนนี้จะมาเล่าเรื่องของ
โลมาแม่น้ำจีน
โลมาแม่น้ำจีน มีลำตัวสีขาว จะงอยปากแคบและยาว ครีบหลังต่ำ ตัวผู้ยาว 2.3 เมตร ตัวเมียยาว 2.5 เมตร น้ำหนักประมาณ 135-230 กิโลกรัม อายุยืนประมาณ 24 ปี
ชาวจีนเรียกโลมาแม่น้ำจีนว่า "เทพธิดาแห่งแม่น้ำแยงซี" (จีนตัวย่อ: 长江女神; จีนตัวเต็ม: 長江女神; พินอิน: Cháng Jiāng nǚshén)
มีผู้เห็นโลมาแม่น้ำจีนครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2004 ก่อนหน้านั้นโลมาแม่น้ำจีนตัวผู้ชื่อ "ชีชี" (淇淇) ที่สถาบันไฮโดรไบโอโลยีแห่งอู่ฮั่น เลี้ยงไว้ตายลงเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งชีชีเป็นโลมาแม่น้ำจีนที่ชาวประมงจับได้โดยบังเอิญในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1980 มีความพยายามของนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันแห่งนี้ที่จะผสมพันธุ์กับโลมาแม่น้ำจีนตัวเมียหลายต่อหลายครั้ง แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งได้มีการเก็บรักษาเซลล์ของชีชีไว้เพื่อที่ทำการโคลนนิ่ง[4]
และเมื่อปี ค.ศ. 2007 มีนักสำรวจกลุ่มหนึ่งได้ล่องเรือสำรวจโลมาแม่น้ำจีน ไม่ปรากฏพบเจอหรือร่องรอยเลย จึงเชื่อว่าได้สูญพันธุ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากโลกนี้
สรุปสุดท้ายแล้วนั้นปลาโลมาที่สวยงามในประเทศจีนก็ได้สูนพันลงเป็นเรืองหน้าเสียใจแต่ก็ยังหวังว่าจะมีการโคลนิ่งใด้โดยเร็วนะครับ


 อ้างอิง คลิก  คลิปวีดีโอจาก   youtube



วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นี้คือเรื่องราวของ   เสือ

ลักษณะทั่วไป
    สือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำเช่นเดียวกับแมวทั่วไป มีเพียงเสือโคร่ง[5]และเสือจากัวร์เท่านั้นที่ชอบน้ำ[6] ยิ่งกว่านั้นสถานที่ที่พบเสือโคร่งบ่อยที่สุดมักจะเป็นแอ่งน้ำ ทะเลสาบ หรือแม่น้ำ เสือเป็นสัตว์ที่หากินโดยลำพัง
    สือมีลักษณะพิเศษคือสามารถซ่อนเล็บไว้ในปลายนิ้วเท้าได้ เมื่อต้องการจับยึดเหยื่อจะกางเล็บเท้าหน้าออก ส่วนเล็บเท้าด้านหลังจะใช้เป็นอาวุธสำหรับฉีกกระชากเหยื่อ และในขณะที่เสือวิ่งเล็บเท้าหลังจะช่วยยึดเกาะ ทำให้สามารถตะกุยพื้นเร่งความเร็วได้เร็วขึ้น

วิวัฒนาการของเสือ
      สัตว์ในกลุ่มเสือซึ่งหมายรวมถึงเสือและแมวทุกชนิด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสิ่งที่มีชีวิตในวงศ์ฟิลิดี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมซึ่งมีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย มีปอดไว้สำหรับหายใจ หัวใจมี 4 ห้องและมีลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเมียมีเต้านมและน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อน ซึ่งส่วนใหญ่การปฏิสนธิและเจริญเติบโตของลูกอ่อน จะเกิดขึ้นภายในมดลูกของตัวเมีย มีเขี้ยวที่ใช้ฆ่าเหยื่อ มีฟันกรามที่คมเหมือนมีดไว้สำหรับตัดเนื้อ ซึ่งพัฒนามาจากฟันกรามที่ทำหน้าที่สำหรับบดเคี้ยว มีข้อต่อสำหรับกระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง การเร่งความเร็วในการวิ่ง และการกระโจน มีนิ้วเท้า 5 นิ้วและเล็บแหลมคม   สัตว์กินเนื้อเริ่มปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อต้นมหายุคซีโนโซอิก (อังกฤษCenozoic) หรือเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อในยุคนี้ คือกลุ่มของสัตว์ที่เรียกกันว่าไมเอซิดี (อังกฤษMiacidae)[7] ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาว มีหางสั้น มีอวัยวะที่ยื่นออกมาจากลำตัวและข้อต่อที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ลักษณะของไมเอซิดีจะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในปัจจุบันคือ จีเน็ต (อังกฤษGenets) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกชะมด (อังกฤษCivet) มีขนาดสมองที่เล็กและกะโหลกแบน สัตว์กินเนื้อที่เรียกว่า ไมเอซิดี คือ ไวเวอร์ราวินและไมเอซิน เป็นจุดเริ่มต้นวิวัฒนาการของสัตว์กินเนื้ออีก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ อาร์กทอยเดีย (อังกฤษ: Arctoidea) และ แอลูรอยเดีย (อังกฤษ: Aeluroidea) ซึ่งลักษณะของอาร์กทอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายหมี ได้แก่สัตว์จำพวกหมี แร็กคูน แมวน้ำ วอลรัส เพียงพอน (วีเซิล) หมูหริ่ง (แบดเจอร์) และหมีแพนด้า ส่วนแอรูรอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายเสือหรือแมว ได้แก่เสือหรือแมวทุกชนิด ไฮยีน่า จีเน็ตหรือสัตว์ในกลุ่มชะมดทุกชนิด ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสัตว์ประเภทไวเวอร์ราวิน ในส่วนของลักษณะโครงสร้างของร่างกาย เช่นโครงสร้างของกะโหลก ฟันและเท้าซึ่งได้รับการพัฒนาจากการปีนป่ายมาเป็นการวิ่งแทน
สำหรับสัตว์ในกลุ่มของเสือในปัจจุบันคือ ฟิลิดี หรือที่เรียกว่า "สัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง" (อังกฤษTrue Cats) ซึ่งในที่นี้รวมถึงเสือเขี้ยวดาบบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย แต่สำหรับเสือเขี้ยวดาบนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสือที่แท้จริงและสัตว์กินเนื้อที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสือ แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า นิมราวิดี (อังกฤษNimravidae) ซึ่งสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อประมาณ 2 - 5 ล้านปีก่อน

สรุปจากที่ก่าวมา นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งหากจะอยากรู้จักกับเสือไห้มากกว่านี้สามารถเขาไปที่อ้างอิงได้เลยครับ



 หนูคือว่าที่นักล่าผู้ยิ่งใหญ่
อ้างอิงจาก  You tube

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันนี้จะมาเล่าเรื่องของ 
หมีหมา 

       
ลักษณะ
   หมีหมาเป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร ขนตามตัวสั้นสีดำปนสีน้ำตาล ขนบริเวณอกโค้งเป็นรูปตัว U สีขาวนวล บริเวณหน้าตั้งแต่ตาไปถึงปลายจมูกสีค่อนข้างขาว หรือน้ำตาลอ่อน ปกติหมีหมาหากินกลางคืน บางครั้งก็ออกหากินกลางวัน มักหากินเป็นคู่ อยู่ในป่าทึบ ไม่ชอบอยู่ตามเขา ดุร้ายและขึ้นต้นไม้เก่งกว่าหมีควาย (U. thibetanus) มีอุปนิสัยโมโหง่าย ชอบนอนบนต้นไม้หรือตามโพรงไม้สูง ๆ ไม่ชอบนอนพื้นดิน บางครั้งร้องคล้ายเสียงสุนัขเห่ากระโชก จึงเรียกว่า หมีหมา เมื่อยืน 2 ขา จะยืนตัวตรง จึงเรียกอีกชื่อว่า หมีคน
ถิ่นอาศัย
    หมีหมา พบในพม่าอินโดจีนไทยมาเลเซียสุมาตราบอร์เนียว, ภาคใต้ของจีน ในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้
อาหาร
    หมีหมา ชอบกินลูกไม้ ใบไม้อ่อน สัตว์เล็ก ๆ แมลงรวมทั้งไส้เดือน ที่ชอบมาก คือน้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังชอบกินเนื้ออ่อนของมะพร้าว
การสืบพันธ์
    หมีหมา มีการผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ตั้งท้องประมาณ 95-96 วัน ปกติออกลูกครั้งละ 1-2 ตัว อายุยืนถึง 20 ปี
ปัจจุบัน
หมีหมากลายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535




อ้างอิง คลิก

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เรืองราวของหมีควาย

           หมีควาย (อังกฤษAsiatic black bear, Tibetan black bearชื่อวิทยาศาสตร์Ursus thibetanus)            จัดเป็นหมี 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (อีกหนึ่งคือ หมีหมา U. malayanus)
    ลักษณะ
หมีควายมีลำตัวอ้วนใหญ่ หัวมีขนาดใหญ่ ตาเล็กและหูกลม ขาอ้วนล่ำและหนา หางสั้น มีนิ้วเท้ายาวทั้งหมดห้านิ้ว กรงเล็บสั้น ขนตามลำตัวหยาบมีสีดำ มีลักษณะเด่นคือ ขนบริเวณหน้าอกเป็นรูปตัว V มีสีขาว ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ความยาวลำตัวและหัว 120-150 เซนติเมตร ความยาวหาง 6.5-10 เซนติเมตร น้ำหนักอาจหนักได้ถึง 200 กิโลกรัม
แหล่งอาศัย
หมีควาย มีการกระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้างขวางพบตั้งแต่ ภาคตะวันออกของปากีสถาน, ภาคเหนือของอินเดียธิเบตเนปาลสิกขิมภูฐานพม่าไทยลาวเวียดนามจีนคาบสมุทรเกาหลีญี่ปุ่น และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของรัสเซีย มักเลือกอาศัยอยู่ในป่าที่มีความอุหินปูน
ดมสมบูรณ์และมีอากาศเย็น เช่น ป่าบนภูเขา
อาหาร
หมีควายกินอาหารได้หลากหลาย เช่น เนื้อสัตว์ผลไม้ใบไม้หน่อไม้, ซากสัตว์, แมลง, รังผึ้ง และตัวอ่อนของผึ้ง บางครั้งอาจเข้ามากินในพื้นที่เกษตรกรรม มักออกหากินในเวลากลางคืน ปีนต้นไม้ไม่เก่ง แต่ชอบฉีกเปลือกไม้เพื่อหาแมลงใต้เปลือกไม้ หรือใช้แสดงเป็นสัญลักษณ์บอกถึงอาณาเขตของตัว ตามปกรติมักอาศัยและหากินตามลำพัง แต่ในฤดูผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อน อาจหากินเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ใช้เวลาตั้งท้องนาน 7-8 เดือน ออกลูกครั้งละไม่เกิน 2 ตัว ตามโพรงไม้หรือในถ้ำที่ปลอดภัย หมีควายเป็นสัตว์ที่สายตาไม่ค่อยดี จึงค่อนข้างดุร้าย เมื่อตกใจหรือสงสัยจะยืนด้วยขาหลัง ต่อสู้กับศัตรูโดยการตะปบด้วยขาหน้าและกัดด้วยฟันอย่างรุนแรง นอกจากนี้แล้วยังมีพฤติกรรมที่แปลก คือ ชอบขดตัวกลมแล้วกลิ้งลงมาจากเนินเขา สันนิษฐานว่าเป็นการเล่นสนุก
สุดทายนี้ก็ขอให้คนเรารักสัตว์และอย่าไปเอาพื้นที่ป่ามาทำเป็นพื้นที่สวนตัวเพราะว่าจะทำไห้สัตว์ป่าสูญพันธ์
ของสัตว์ได้





วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

 ประเทศไทยเมื่อครั้งยังเป็นสยามได้ชื่อว่า เป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งจนเป็นที่กล่าวขวัญของชาวต่างประเทศที่เคยเดินทางเข้ามาในสมัยนั้น และปรากฎในรายงานบันทึกเก่า ๆ ว่า ประเทศไทยได้ส่งงาช้างและนอแรดเป็นสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศปีละมาก ๆ สัตว์ป่ามีชุกชุม จนบางครั้งก่อให้เกิดการทำลายพืชผล ทรัพย์สินและชีวิตชาวบ้านอยู่เนื่อง ๆ 

   การล่าสัตว์ป่าสมัยนั้นในชนบทกระทำกันเป็นปกติและจัดเป็นเกมกีฬาของคนกรุงที่จะใช้เวลาพักผ่อนจากการงานประจำปีด้วยการล่าสัตว์ขนาดใหญ่เพื่อเอาตัว เขาหรือหนังมาเป็นเครื่องประดับเลียนแบบคนในแถบยุโรปที่มักไปล่าสัตว์แอฟริกาพัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะอาวุธปืน กระสุนปืน และรถจิ๊ปขนาดต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งเหลือใช้จากสงครามจำนวนมาก ปืนดังกล่าวมีอานุภาพในการล่าสัตว์ป่าใหญ่มากขึ้นรถจิ๊ปก็ช่วยให้เดินทางในถิ่นทุรกันดารได้ไกลขึ้น อำนวยความสะดวกสบายให้แก่นักล่าสัตว์ ทำให้สามารถอยู่ในป่าได้ครั้งละนาน ๆ

   สัตว์ป่าจำนวนมากจึงถูกล่าอย่างรวดเร็วประกอบกับจำนวนประชากรของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีการขยายพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้น โดยการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ทุ่งหญ้า ที่เคยเป็นแหล่งน้ำแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และบางชนิดต้องสูญพันธุ์ไป เช่น สมันหรือเนื้อสมัน ซึ่งถือกันว่าเป็นกวางที่มีเขาสวยงามมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง และพบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวก็สูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าพื้นเมืองของไทยอีกหลายชนิดกำลังอยู่ในภาวะล่อแหลมที่จะสูญพันธุ์ เช่น แรด กระซู่ ฯลฯ 


























อ้างอิงจาก:ประวัติสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าหรือคลิกที่นี้้ รูปจาที่